วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2552
8 อาการ รู้ได้อย่างไรว่าถูก " เพื่อนแอบชอบอยู่ " !!
2.เวลาเค้าทำอะไรสักอย่างให้คุณ เค้าจะบอกว่า " ไม่เป็นไรหรอกเพื่อนกัน " แต่เมื่อคุณบอกว่า " ขอบใจน่ะ " คุณกลับจะได้รอยยิ้มแบบเขิล ๆ แบบเก็บไว้ไม่อยู่(แต่แอบเนียน)กลับมา
3.เวลาอยู่กับเพื่อนกลุ่มใหญ่ ๆ ถ้าคุณไม่ได้สังเกตุอะไรก็จะเหมือนทุกอย่างเป็นปรกติ แต่ถ้าลองสังเกตุใครสักคนนั้นซิ
เค้าจะมีอาการอะไรที่แปลกไปจากคนอื่นแน่นอน
4.เค้ามักจะงอลคุณโดยที่คุณไม่รู้สาเหตุโดยคุณจะเฝ้าถามตัวเองว่า " เป็นอะไรของ..ว่ะ !! "
*คนแอบรักจะรู้ดีว่าชอบงอลเค้าเรื่องอะไร
5.เวลาวันสำคัญคุณมากจะได้ของขวัญจากเค้าเป็นคนแรก (ถ้าไม่นับแฟนของคุณในกรณีที่มี) ไม่แน่อาจจะก่อนแฟนของคุณด้วยซ้ำ
6.เวลาคุณเล่าเรื่องอะไรสักอย่าง เค้าจะนั่งฟังคุณอย่างใจจดใจจ่อ แม้เรื่องนั้นมันจะไม่มีสาระอะไรเลยก็ตาม -*-
แถมหัวเราะโอเวอร์ในมุขที่คนอื่นแค่ " หึ ๆ " หรือแป้กนั้นเอง
7.บางครั้งเค้าอาจจะถามถึงแฟนของคุณ แล้วพูดในเชิงว่าเค้าเป็นอย่างไรยังดีอยู่ไหม ?
แต่เวลาที่คุณทะเลาะกับแฟนคุณจริง ๆ เค้ากลับปลอบใจอย่างเอาเป็นเอาตาย และพยายามทำให้คุณ
คนดีกันให้ได้...เพราะเค้าไม่อาจทนเห็นน้ำตาของคุณไงล่ะ !
8.ถ้าคุณได้เจอกับคนๆนี้แล้ว ไม่ต้องคิดมาก ไม่ต้องทำอะไรทั้งสิ้นที่แปลกไปจากเดิม เพราะคิดซะว่า
ที่เค้าทำเพื่อนคุณก็แค่อยากให้คุณมีความสุขที่สุด เค้าไม่หวังอะไรไปมากกว่านั้น
นอกจาก ได้ใกล้ชิด ได้ดูแล แล้ว ได้รู้ว่าคุณมีความสุข ถึงจะไม่ได้รับ " คำว่ารัก " แต่แค่คำว่า " ขอบใจมากน่ะ "
แค่นี้ เค้าก็มีความสุข...มากพอแล้ว
ของขวัญ
ของขวัญล้ำค่าเหล่านี้ ไม่ต้องรอมอบให้กันในช่วงเทศกาล เราสามารถมอบให้ผู้อื่นได้ตลอดปี และเมื่อเรามอบของขวัญนี้แก่ผู้ใดแล้ว ผลที่ได้รับมีคุณค่ามากมายมหาศาล ทั้ง ๆ ที่เราไม่ต้องลงทุนซักแดงเดียว เรามาลองดูรายละเอียดของกิฟต์เซ็ต ชุดนี้กันดีกว่า
ของขวัญจากการฟัง : จงตั้งใจฟังผู้อื่นให้มาก อย่าขัดจังหวะการพูด หรือขัดคอผู้อื่น พูดให้น้อย ฟังให้มาก
ของขวัญจากภาษากาย : อย่าอายที่จะแสดงความรักต่อครอบครัวหรือเพื่อนของคุณ การแสดงออกเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่บอกให้พวกเขารู้ถึงความสนิทสนมที่คุณมีให้ จับมือ, โอบไหล่, สวมกอด, หอมแก้ม ฯลฯ
ของขวัญจากความเบิกบาน : แบ่งปันเสียงหัวเราะและความสนุกสนาน ให้คนรอบข้าง มีเรื่องสนุกอย่าแอบหัวเราะคนเดียว
ของขวัญจากการเขียน : กระดาษโน้ตที่เขียนด้วยลายมือของคุณเอง เช่น ?ฉันรักคุณจังเลย? ... ?ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือ? ... จะสร้างความรู้สึกดี ๆ ให้แก่คนอ่านได้ไม่น้อย
ของขวัญจากคำชม : ขึ้นชื่อว่ามนุษย์ ไม่ว่าใครก็อยากได้รับคำชม เช่น ?ผมทรงนี้ดูดีจัง? ?กับข้าวอร่อยมากเลยนะ? ?ผอมลงรึเปล่า ดูดีขึ้นเยอะเลยนะ? แต่อย่าชมจนเว่อร์ก็แล้วกัน เดี๋ยวจะกลายเป็นคนไม่จริงใจ
ของขวัญจากความมีน้ำใจ : ความจริงคนเราทุกคนล้วนมีน้ำใจ สภาพสังคมที่แก่งแย่งแข่งขันอยู่ตลอดเวลา ทำให้น้ำใจของหลายคนเกิดอาการ ?หลับใน? การแบ่งปันให้กันจะทำให้โลกเราน่าอยู่ขึ้นนะ
ของขวัญจากเวลาส่วนตัว : บางเวลาคนเราก็อาจอยากอยู่เงียบ ๆ ตามลำพัง อย่าลืมเคารพสิทธิ์ผู้อื่นด้วย ปล่อยให้เขาอยู่คนเดียวเมื่อเขาต้องการ
ของขวัญจาการให้กำลังใจ : คนเรายามที่จิตใจท้อแท้ ก็เหมือนรถน้ำมันหมด วยเติมกำลังใจให้คนอื่นทุกครั้งที่มีโอกาส ?ใจเย็น ๆ นะ เดี๋ยวก็มีทางแก้? ? ยากกว่านี้เธอยังทำได้เลย? สักวันรถของคุณเองก็อาจขาดน้ำมันเหมือนกันก็ได้
ของขวัญจาก มธุรสวาจา : คำพูดดี ๆ ทำให้เกิดความประทับใจต่อกันได้ดี อย่าลืมคำพื้นฐานอย่าง ?ขอบคุณ? ?ขอโทษ? ?ไม่เป็นไร? เพราะคุณเองก็คงอยากฟังคำพูดดี ๆ จากคนอื่นบ้างเหมือนกัน
เห็นไหมว่า เรามีของขวัญมากมายอยู่กับตัวที่สามารถหยิบยื่นให้แก่กัน ได้ทุกที่ทุกเวลา ลองมอบให้คนข้าง ๆ ซักคนละชิ้น สองชิ้น เริ่มต้นจาก การยิ้มให้กันก่อน ยิ้ม เป็นจุดเริ่มต้นของมิตรภาพและเรื่องราวดี ๆ อีกมากมาย
วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552
10 อย่างที่ผู้ชายเสียเปรียบผู้หญิง
ผู้หญิงหอมแก้มกัน : ดูน่ารัก
ผู้ชายหอมแก้มกัน : อืยยย...หวาดเสียว ขนลุก
อันดับ 2
ผู้หญิงใส่กางเกงฟิตๆ : น่ามองจิงๆ น่าชม
ผู้ชายใส่กางเกงฟิตๆ : แหยะ! จะอ้วก
อันดับ 3
ผู้หญิงตบผู้ชาย : ป้องกันตัว หรือ "สุดจะทน"
ผู้ชายตบผู้หญิง : ไอ่หน้าตัวเมีย!
อันดับ 4
ผู้หญิงร้องไห้ : ดูน่าสงสาร
ผู้ชายร้องไห้ : ปลาซิว
อันดับ 5
ผู้หญิงเป็นเพื่อนกัน ดูแลห่วงใยเอาใจใส่กัน : ดูน่ารักดี สดชื่น
ผู้ชายเป็นเพื่อนกัน ดูแลห่วงใยเอาใจใส่กัน : ชักแปลก ดูเหมือนคู่เกย์
อันดับ 6
ผู้หญิงหลอกรับประทานผู้ชาย : อ่อ อาจเป็นเรื่องปกติ
ผู้ชายหลอกรับประทานผู้หญิง : สารเลว เกาะผู้หญิงกิน
อันดับ 7
ผู้หญิงพูดตรงๆ : ดูเป็นคนเปิดเผย
ผู้ชายพูดตรงๆ : ไอ่บ้า พูดไม่เข้าหูคน
อันดับ 8
ผู้หญิงเข้าห้องน้ำผู้ชาย : มันผิดพลาดกันได้!
ผู้ชายเข้าห้องน้ำผู้หญิง : ไอ่บ้า! โรคจิต
อันดับ 9
ผู้หญิงเดินตกท่อ : น่าสงสารจัง เป็นอะไรมากมั้ย?
ผู้ชายเดินตกท่อ : ไอ่โง่! เดินไม่ดูตาม้าตาเรือซะเลย
อันดับ 10
ผู้หญิงขับรถปาดหน้า : ช่างเหอะ ผู้หญิงก้ออย่างนี้แหละ
ผู้ชายขับรถปาดหน้า : แซงขึ้นแล้วยิง!!
10 ประการ เพื่อเร่งการเผาผลาญอาหาร
ดังเช่นที่กล่าวไว้แล้วเมื่อตอนต้น ว่าระบบการเผาผลาญจะทำงานช้าลงเมื่อเราอายุมากขึ้น ประมาณว่ามันจะทำงานช้าลงปีละ 2 เปอร์เซ็นต์ แต่ก็มีบางสิ่งที่คุณทำได้เพื่อต่อสู้กับธรรมชาติ ชารี ลีเบอร์แมน ผู้เขียนหนังสือชื่อ Dare to Lose ให้ความเห็นว่า "กล้ามเนื้อนี่แหละคือตัวบ่งชี้ที่ดีที่สุดถึงระบบเผาผลาญพลังงานจากอาหาร ที่คุณกินเข้าไป ชี้ให้เห็นด้วยว่าคุณเผาแคลอรี่และเผาไขมันไปได้มากน้อยแค่ไหน" เธอยังแนะนำด้วยว่าถ้าคุณต้องการจะเร่งกระบวนการเผาผลาญให้ทำงานดีขึ้น อย่างน้อยก็ควรจะยกดัมบ์เบลหรือดึงแถบยางต้านแรงอย่างน้อยสัปดาห์ละสองครั้ง เพียงเท่านี้มันก็ช่วยได้มากเลยในการเร่งกระบวนการเผาผลาญ และข่าวดีก็คือระบบเผาผลาญของคุณที่ดีขึ้นนี้ จะยังคงทำงานหนักไปได้อีกหลายชั่วโมงทีเดียว ภายหลังจากออกกำลังมาแล้ว
2. เคลื่อนไหวอยู่เสมอ
ถ้าบอกว่าต้องเคลื่อนไหวอยู่เสมอ ใครๆก็รู้ แต่ก็ต้องย้ำกันไว้สักหน่อยล่ะว่าคุณควรจะเคลื่อนไหวแบบไม่ธรรมดา ด้วยการหาเวลาให้ได้สัก 30 นาทีหรือ 1 ชั่วโมง เพื่อมาเดินเร็วๆ, วิ่งจ็อกกิ้ง, ปั่นจักรยาน, ว่ายน้ำหรือออกกำลังกายแบบแอโรบิกบางอย่าง ให้ได้ความถี่อาทิตย์ละ 3 ถึง 4 ครั้ง เรื่องนี้ลีเบอร์แมนคนเดิมบอกว่า "ใครๆต่างก็ไม่ชอบทำแบบนี้ทั้งนั้นแหละ แต่มันก็จำเป็นต้องทำค่ะ"
3. กินเป็นปกติ อย่าได้อดอาหารเป็นอันขาด ลดน้ำหนักได้แต่อย่าอดอาหาร ฟังดูอาจจะเพี้ยน ๆ หน่อยสำหรับใครก็ตามที่พยายามลดน้ำหนักด้วยการกินให้น้อยๆเข้าไว้ แต่ความคิดแบบเก่า ๆ นี้กลับเป็นปัญหา ตรงที่ว่ามันกลับไปทำให้กระบวนการเผาผลาญทำงานได้ช้าลง ตามคำอธิบายของจูลี เบเยอร์ นักโภชนาการจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนซึ่งกล่าวว่า"ทุกๆเซลในร่างกายเราก็ไม่ ต่างอะไรจากหลอดไฟ เมื่อเรากินอาหารไม่เพียงพอ หรือเปรียบกับได้รับเชื้อเพลิงน้อย เซลหรือไส้หลอดก็จะไม่เผาไหม้สว่างไสว ผลการวิจัยของนักวิทยาศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้แสดงให้เห็นว่า การรับประทานอาหารมื้อเล็กๆห่างกัน สามถึงสี่ชั่วโมงต่อมื้อ ก็จะช่วยให้ระบบเผาผลาญทำงานได้ดี และช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ด้วย
4. ละเว้นน้ำตาล แน่ล่ะ แม้จะไม่มีน้ำตาล คุณก็ยังเลือกกินอาหารอร่อยๆได้ "เพราะเมื่อใดที่คุณกินน้ำตาลเข้าไป นั่นคือระบบการเผาผลาญจะถูกเปลี่ยนไปเป็นระบบเก็บกักไขมันอย่างรวดเร็ว" ตามที่ลีเบอร์แมนพูด ในเมื่อเธอเป็นตัวตั้งตัวตีในเรื่องการบริโภคอาหารน้ำตาลต่ำ ด้วยหลักความคิดว่าอาหารที่เรารับประทานเข้าไปตามปกตินี้ แม้ไม่มีน้ำตาล มันก็แตกตัวออกเพื่อช่วยรักษาระดับนำตาลในเลือดอยู่แล้ว
5. ไม่อดอาหารเช้า เป็นความจริงที่ไม่ค่อยจะมีใครคำนึงถึงเท่าไหร่เลยว่า คนที่กินอาหารเช้าที่ถูกสุขลักษณะเป็นประจำมักจะสะโอดสะองกว่าพวกที่ไม่กิน ลองคิดแบบนอกกะลากันดูหน่อยเป็นไร ถ้าหากคุณจะกินอาหารเช้าที่เป็นสลัดผักหรือว่าข้าวซ้อมมือ อาหารแบบนี้แหละที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญได้ดีนัก ทั้งยังมีเส้นใยอาหารมากกว่าอาหารประเภทอื่นด้วย
6. กินเผ็ดเข้าไว้ คงไม่ต้องถึงกับควันออกหู แต่ถ้าคุณชอบอาหารไทยอยู่แล้วก็ย่อมถือว่าเดินมาถูกทาง แม้แต่ลีเบอร์แมนเองก็ยังพูดเลยว่า"อาหารเผ็ดๆนี่แหละ ช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญดีนัก" ไม่เชื่อก็ลองสังเกตดูเถอะว่าใครบ้างในวงข้าวของคุณ ที่กินเผ็ดแล้วเหงื่อแตกพลั่กๆ นั่นแหละกระบวนการเผาผลาญของเขากำลังทำงานอย่างหนักอยู่
7. ดื่มชาเขียว มิแชลล์ สเตรฟ ผู้ฝึกซ้อมกีฬาจากเนบราสกาให้ความเห็นว่า"มีวิธีค่อนข้างทำลายสุขภาพตั้ง หลายอย่างที่จะช่วยเร่งกระบวนการเผาผลาญ อย่างการดื่มกาแฟแก่ๆสักแก้ว หรือการรับนิโคตินเข้าร่างกาย แต่ดิฉันไม่ได้บอกว่าคุณต้องสูบบุหรี่นะ" แต่ลีเบอร์แมนเองก็ให้คำแนะนำที่น่าสนใจในเรื่องนี้เช่นกันว่า แทนที่จะดื่มเครื่องดื่มผสมคาเฟอีนมากๆแล้วต้องพบกับผลข้างเคียงค่อนข้าง อันตราย ก็น่าจะใช้ชาเขียวร้อนแทน ซึ่งชาเขียวที่ว่านี้จะกระตุ้นระบบเผาผลาญได้นานกว่าและมีประสิทธิภาพ มากกว่ากาแฟเสีย
วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552
คิดบวก ชีวิตบวก
เวลาเจอปัญหาซับซ้อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทเรียนที่จะสร้างปัญญาได้อย่างวิเศษ เวลาเจอความทุกข์หนัก
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือแบบฝึกหัดที่จะช่วยให้เกิดทักษะในการดำเนินชีวิต
เวลาเจอนายจอมละเมียด ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการฝึกตนให้เป็นคนสมบูรณ์แบบ (Perfectionist)
เวลาเจอคำตำหนิ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการชี้ขุมทรัพย์มหาสมบัติ
เวลาเจอคำนินทา ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือการสะท้อนว่าเรายังคงเป็นคนที่มีความหมาย เวลาเจอความผิดหวัง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติกำลังสร้างภูมิคุ้มกันให้กับชีวิต เวลาเจอความป่วยไข้
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือการเตือนให้เห็นคุณค่าของการรักษาสุขภาพให้ดี
เวลาเจอความพลัดพราก ให้บอกตัวเองว่า นี่คือบทเรียนของการรู้จักหยัดยืนด้วยขาตัวเอง
เวลาเจอลูกหัวดื้อ ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือโอกาสทองของการพิสูจน์ความเป็นพ่อแม่ที่แท้จริง เวลาเจอแฟนทิ้ง
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความเป็นอนิจจังที่ทุกชีวิตมีโอกาสพานพบ
เวลาเจอคนที่ใช่แต่เขามีคู่แล้ว ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือประจักษ์พยานว่าไม่มีใครได้ทุกอย่างดั่งใจหวัง เวลาเจอภาวะ
หลุดจากอำนาจ ให้บอกตัวเองว่า นี่คือความอนัตตาของชีวิตและสรรพสิ่ง
เวลาเจอคนกลิ้งกะล่อน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คืออุทาหรณ์ของชีวิตที่ไม่น่าเจริญรอยตาม เวลาเจอคนเลว
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือตัวอย่างของชีวิตที่ไม่พึงประสงค์ เวลาเจออุบัติเหตุ
ใ
ห้บอกตัวเองว่า นี่คือคำเตือนว่าจงอย่าประมาทซ้ำอีกเป็นอันขาด เวลาเจอศัตรูคอยกลั่นแกล้ง ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบททดสอบว่าที่ว่า “มารไม่มีบารมีไม่เกิด” เวลาเจอวิกฤต ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือบทพิสูจน์สัจธรรม “ในวิกฤตย่อมมีโอกาส” เวลาเจอความจน ให้บอกตัวเองว่า
นี่คือวิธีที่ธรรมชาติเปิดโอกาสให้เราได้ต่อสู้ชีวิต เวลาเจอความตาย
ให้บอกตัวเองว่า นี่คือฉากสุดท้ายที่จะทำให้ชีวิตมีความสมบูรณ์
อาหารทำร้ายดวงตา
เพื่อนๆ รู้ไหมคะว่า อาหารจานโปรด ที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน
บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อ ดวงตา และ สายตา ก็ได้
ว่าแล้วเราไปอ่าน เกร็ดความรู้ คู่ สุขภาพ นี้พร้อมๆ กันดีกว่าค่ะ
อาหารที่รับประทานกันอยู่ทุกวัน บางครั้งอาจจะเป็นอันตรายต่อดวงตาก็ได้
วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...
นักวิทยาศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัยฮิโรซากิ ประเทศญี่ปุ่น
ได้ทำการทดลองกับหนูพบว่า
หนูที่กินอาหารที่มีปริมาณสารโซเดียมกลูตาเมทซึ่งเป็นสารชนิดเดียวกับผงชูรส
มีความสามารถในการมองเห็นลดลงเนื่องจากชั้นเรตินาในดวงตาถูกทำลาย
และกิจกรรมการส่งสัญญาณคลื่นไฟฟ้าในเซลล์ประสาทตาลดลง
ซึ่งอาจส่งผลเช่นเดียวกันนี้กับมนุษย์
นอกจากนี้ฮิโรชิ โฮกุโร
หัวหน้าคณะวิจัยสังเกตว่า สาเหตุที่จำนวน
ผู้ป่วยโรคต้อหินในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ
อาจมาจากการนิยมรับประทานอาหารที่ปรุงรสด้วยสารโมโนโซเดียมกลูตาเมท
รู้อย่างนี้แล้วก็อย่ารับประทานผงชูรสมากจนเกินไป จะได้ไม่เสียสุขภาพ
เคล็ดลับน่ารู้ วิธีเก็บสายหูฟัง ไม่ให้พันกัน
2. มัดรวมกันไว้ด้วยยาง ลวดมัดสายไฟ หรืออะไรก็ได้ ที่ทำให้หูฟังกับแจ็ค อยู่ติดกัน
3. โยนลงกระเป๋าไปเลย ไม่ต้องกลัวว่ามันจะพันกัน
อาจจะงงว่าแค่นี้ จะทำให้สายไม่พันกันได้อย่างไร
การพันกันของเชือกหรือสายไฟ มันต้องการปลายเชือก
หรือปลายทั้ง 2 ด้าน มันจะพันเองได้ง่าย
ดังนั้น ถ้าเราทำลายปลายเชือก โดยการผูกปลายติดกัน
โอกาสที่สายจะพันกันนั้น ลดลง
หรือถ้าพันกันจริงๆ ก็สามารถที่จะแก้ออกได้ง่าย
ทำไมมดถึงต้องเดินแล้วเอาหนวดแตะกัน
นักมดวิทยาได้ศึกษาแมลงสังคมและมด และก็ได้ลงความเห็นว่ามดมีรูปแบบการสื่อสารระหว่างกันทั้งหมด 12 แบบด้วยกันได้แก่
1. การเตือนภัย หรือบอกเหตุอันตราย
2. การดึงดูดความสนใจทั่วไป
3. การบอกตำแหน่งแหล่งอาหารและรัง
4. การช่วยเหลือตัวอ่อนเวลาลอกคราบ
5. การแลกเปลี่ยนหรือแบ่งปันอาหารเหลว
6. การแลกเปลี่ยนอาหารที่เป็นของแข็ง
7. อิทธิพลของกลุ่มที่มีทั้งการสนับสนุนและยับยั้งกิจกรรมที่ให้กระทำ
8. การยอมรับวรรณะของมดร่วมรัง และแบ่งแยกมดพวกที่บาดเจ็บหรือตาย
9. การกำหนดวรรณะโดยมดราชินี
10. การควบคุมการแข่งขันการสืบพันธุ์ของกลุ่ม
11. การกำหนดอาณาเขตของรังและตำแหน่งของรัง
12. การสื่อสารเรื่องเพศ
รูปแบบการสื่อสารเหล่านี้ก็โดยใช้ “สารเคมีในร่างกาย” (หรือที่เราเรียกว่า “ฟีโรโมน”)
ที่มีกลิ่นแตกต่างกันไปเป็นหลัก โดยอวัยวะส่วนที่สัมผัสและรับรู้กลิ่นนี้ได้ดีก็คือ “หนวด”
นั่นเอง มดจะใช้หนวดในการสื่อสารกัน เราคงคุ้นเคยที่เห็นมดเวลาเจอกัน
จะใช้หนวดแตะกัน นั่นคือการสื่อสารกัน พฤติกรรมที่เราเห็นนั้นคือ
มันกำลังถ่ายเทอาหารหรือของเหลวให้แก่กัน อาจเป็นตัวหนึ่งให้อีกตัวหนึ่งรับหรือการแลกเปลี่ยนระหว่างกัน
สารเคมีเปรียบเสมือนกลิ่นประจำตัวที่ทำให้มดสามารถแยกแยะตัวอื่นได้ว่า
เป็นมดกลุ่มเดียวกันหรือมาจากต่างกลุ่มกัน กลิ่นของสารเคมียังช่วยให้มันแยกแยะวรรณะไ
ด้ คือทำให้มันรู้ว่าพี่น้องมันตัวไหนเป็นมดงาน ตัวไหนเป็นมดเพศผู้
ตัวไหนเป็นมดเพศเมีย หรือตัวไหนเป็นมดราชินี อีกทั้งยังรู้ด้วยว่าตัวอ่อนที่เป็นน้องของมันนั้นอยู่ในระยะ
ไหนแล้ว เพราะถ้าใกล้ลอกคราบมันก็จะมาช่วยด้วย เพราะปกติในรังนั้นก็มืดอยู่แล้ว
และการมองเห็นของมดก็ไม่ค่อยดี การสัมผัสโดยรับรู้จากกลิ่นทำให้เป็นการกำหนดพฤติกรรมของมันไปด้วยในตัว
เมื่อมดออกนอกรัง โลกใบใหญ่อันกว้างขวางของมันนั้น มันรับรู้ได้โดยใช้สารเคมีนี้ช่วย
ไม่ว่าจะเป็นการสำรวจสิ่งรอบตัว หรือแหล่งอาหาร
เมื่อมันพบแล้วมันก็ยังต้องพึ่งเส้นทางจากสารเคมีนั่นเองเพื่อใช้เป็นเส้น ทางกลับรังไปบอกพรรคพวกและ
เดินเส้นทางเดิมโดยไม่หลงทางเพื่อไปลากอาหารกลับ รัง
เราอาจเรียกทางนี้ว่า “เส้นทางมด” ซึ่งก็เป็นเส้นทางของสารเคมีจากตัวมันนั่นเอง
อีกทั้งเมื่อรังของมันถูกคุกคามจากศัตรูภายนอก ก็เป็นสารเคมีนี้อีกนั่นแหละที่มีบทบาท
โดยมดราชินีจะเป็นผู้ส่งสัญญาณเตือนภัยออกไปเพื่อให้มดงานทั้งหลายมาปกป้อง เธอและไข่
จะเห็นได้ว่า สารเคมีจากตัวมดนี้
มีบทบาทต่อวิถีชีวิตพวกมันมากทีเดียว
เคล็ดลับน่ารู้ ผ่าไข่ต้มให้สวย
ไข่ต้มเป็นอาหารจานไข่ที่มีวิธีทำง่ายแสนง่าย
แต่ปัญหาที่พบบ่อยคือ
การผ่านั้นไข่มักแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ไม่ว่าจะเป็นไข่ไก่หรือไข่เป็ด
เราก็มีวิธีผ่าให้สวยงามได้โดย
ใช้เส้นด้ายยาวพอประมาณผูกข้างหนึ่งให้แน่น
ใช้มือดึง หรืออาจผ่าโดยใช้มีดที่จุ่มลงในน้ำร้อนก็ได้
ขำขัน :สวยแค่ไหน
เมื่อทำพีธีเสร็จแล้วเจ้าบ่าวก็ได้ถามกับบาทหลวงว่าค่าใช้จ่ายในงานนี้ทั้งหมดเท่าไร
ส่วนบาทหลวงก็ตอบกลับมาว่า "แล้วแต่ความงามของเจ้าสาว"
" ถ้าสวยมากก็ให้มาก ถ้าสวยน้อยก็ให้น้อย เจ้าบ่าวก็ได้เอามือล้วงกระเป๋าอยู่พักหนึ่ง
แล้วหยิบเหรียญ 5 ขึ้นมาให้กับบาทหลวง บาทหกลวงจึงได้ถามว่า "
ทำไมคุณถึงได้ดูถูกความงามของเจ้าสาวคุณอย่างนี้"
แล้วบาทหลวงก็ได้เปิดผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวดู แล้วบาทหลวงก็ทอนเงินให้กับเจ้าบ่าว 3 บาท
นี่หรือ... คำว่าเพื่อน..
ว่าเพื่อนคนหนึ่งที่ฉันรักมากมายคิดว่าเขาเป็นเหมือนคนหนึ่งในครอบครัวเราไปเรียนด้วยกัน
จากบ้านไปไกลแสนไกล.....เราต่างดูแลกันมาตลอด ไม่ว่ายามสุข ยามทุกข์
จนวันหนึ่งเราสองคนเรียนจบและกลับมาทำงานแรกๆก็ดีนะ
แต่พอนานไปอะไรหลายอย่างก็เปลี่ยนไปเพื่อน....ที่ฉันเคยรับรู้ทุกเรื่อง
วันนี้ฉันกลับไม่รู้อะไรเลยเพื่อน....ที่ฉันเคยเป็นห่วงแต่วันนี้เขาคง
ไม่ต้องการความห่วงใยของฉันอีกแล้วเพื่อน...คำพูดทีฉันเคยเชื่อถือ
ได้แต่วันนี้สิ่งที่เขาพูดกลับไม่เคยเป็นจริงเลยและ
แล้วเราสองต่างก็เดินตามทางของใครของมัน
จนวันนี้เราไม่เคยคิดติดต่อกันอีกเลยเคยคิดที่จะกลับไป
....แต่ถามว่าถ้าคุณกลับไปหาเพื่อนแต่คุณกลับโดนหลอกซ้ำแล้ซ้ำอีก
...ถ้าเป็นคุณก่อนกลับไปคงมีคำถามมากมายในใจ
........แต่สำหรับฉันขอเก็บเพื่อนคนนี้ไว้ในความทรงจำสีจางไว้อย่างนี้ตลอดไป...
4 วิธี การสร้างความสดชื่นหลังตื่นนอน
หรือยังรู้สึกเพลียอยู่ หากวันใดเรามีเวลาพักผ่อนเต็มที่ก็คงไม่มีปัญหา
แต่หากว่าเราจำเป็นต้องลุกจากเตียงทั้งที่ยังง่วงอยู่ ลองทำตามวิธีเหล่านี้ดู จะช่วยให้คุณสดชื่นและสดใสรับวันใหม่ได้ไม่ยาก
1. เริ่มจากการเดินไปหยิบน้ำมาดื่มสักแก้วใหญ่ ให้ชื่นใจ
การดื่มน้ำเป็นการเติมน้ำให้กับร่างกาย หลังจากร่างกายพักผ่อนมาทั้งคืน
ซึ่งเป็นวิธีที่ช่วยให้สมองปลอดโปร่งมากขึ้น
2. ออกกำลังกายยืดเส้นกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ ภายในร่างกาย 5-10 นาที
เน้นการยืดในส่วนที่ต้องใช้บ่อย ๆ ในการทำงาน
เช่น ถ้าต้องใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการทำงานทั้งวัน ต้องเน้นการออกกำลังที่
กล้ามเนื้อบริเวณคอ หัวไหล่ แขน และฝ่ามือ
3. การรับประทานธัญพืช และอาหารที่มีโปรตีนในมื้อเช้า
ลดอาหารจำพวกแป้ง การรับประทานอาหารในช่วงเช้ามีประโยชน์ต่อร่างกาย
เป็นการเตรียมพร้อมให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดวัน
4. การเปลี่ยนเครื่องดื่ม
เลิกดื่มกาแฟแล้วหันมาดื่มชาขิง เพื่อช่วยการไหลเวียนของเลือด
ทำให้ร่างกายอบอุ่น อีกทั้งช่วยให้ระบบการย่อยอาหารทำงานได้ดี
จับผิด 19 คำโกหกของผู้ชาย
ใครได้ยินคำนี้อย่าหลงดีใจ เพราะเค้าสามารถรักคนใหม่ได้เมื่อต้องเลิกกันไปแล้ว
2. "เธอจะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุด" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
แม้เค้าจะแทงกั๊กประมาณว่าถึงจะมีกิ๊กใหม่ในอนาคต เค้าก้อไม่สามารถรักเท่าที่รักเธอ ฟังดูก้ออาจจะเป็นไปได้แหะ
3. "เราจะอดทนเป็นแฟนกันจนแต่งงานในอนาคต" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
เค้าพูดด้วยความรู้สึกแบบเด็กๆที่ยังไม่ได้ผ่านสารพัดร้อยล้านเหตุการณืที่จะเกิดขึ้นในวันข้างหน้า ซึ่งอาจทำให้ความรักสะดุดเมื่อไหร่ก้อได้
4. "ผมไม่เคยยอมใครขนาดนี้มาก่อน" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
ถ้าเค้าเป็นคนที่นิสัยยอมคน เค้าก้อจะยอมกับผู้หญิงทุกคนนั่นแหล่ะ
5. "สิ่งที่ผมทำลงไป ผมพยายามทำดีที่สุดแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 78 คน)
ถ้าเกิดเค้าได้พยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว ต่อให้ผูหญิงคนนั้นหูหนวกหรือตาบอดยังไงก้อต้องรู้สึกได้
6. "ก้อผมเป็นของผมหยั่งงี้มานานแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 79 คน)
เค้าพูดเพื่อให้เธอยอมรับนิสัยห่วยแตกของเค้า โดยอ้างความเป็นตัวของตัวเอง
7. "ให้อภัยผมเถอะ ผมจะไม่ได้ทำอีกแล้ว" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
ธรรมดาที่เค้าจะต้องพูดเพื่อใหการอภัยโทษป้องกันชะตาขาด และเธอเชื่อหรอว่าเค้าจะไม่พูดคำนี้อีกและอีกๆๆๆๆ
8. "ไม่รักผมไม่เป็นไร ขอแค่ให้ผมได้รับเธอก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 83 คน)
แค่เธอแสดงให้เห็นว่ายังไงเธอก้อไม่มีวันรักเค้าได้จริงๆ ขี้คร้านจะรีบเด้งตัวเองจากไปภายในไม่กี่วัน พร้อมด้วยคำนินทาเธออีกก้อนใหญ่
9. "คิดถึงจนทนไม่ไหวแล้ว ออกมาเจอกันหน่อยนะ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 88 คน)
เค้าอาจจะถวิลหาเธอจริงๆแต่ไม่ได้รุนแรงถึงกับจะลงแดงตายเหมือนเธอเป็นยาเสพย์ติดของเค้าขนาดนั้น
10. "ทำไม ผมเลวจนเธอไม่ไว้ใจได้เลยหรอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 71 คน)
เมื่อมีความไม่พอใจต่อการกระทำของเค้าในทุกกรณี เค้าจะต้องรีบปกป้องตัวเอง เพื่อแตะเบรคความคิดของเธอ
11. "ขอนอนกอดเฉยๆก้อพอ" (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 89 คน) และ 89
คนนั้นหมายถึงการกอดในครั้งแรกที่ใกล้ชิดตัวกันมากขนาดนั้น แต่จะพุ่งพรวดถึง 95 คนทันที ในการกอดครั้งต่อไป
12. “ผมรักนะเลยอยากให้เธอเป็นของผม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
เพราะถ้ารักจริงทำไมต้องขอเอาเปรียบเราด้วย รักแล้วไม่หน้าด้านขออะไรๆ เรื่องนี้ไม่ได้หรือไง
13. “เธอคนนั้นเป็นแค่เพื่อนจริงๆ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 65 คน)
ไม่มีทางซะหรอกที่เมื่อมีผู้หญิงมากิ๊ก แล้วเขาจะปฏิเสธเจ้าหล่อนเป็นแค่เพื่อน
14. ”ผู้หญิงคนนั้นเค้ามาชอบผมเอง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
ฟังแล้วน่าภูมิใจที่พ่อตัวดีมีเสน่ห์เหลือร้าย แต่ช้าก่อนเพราะเพลงของปานนำมาใช้ได้กับคำโกหกคำนี้เสมอ “ตบมือข้างเดียว ไม่ดัง”
15. “เพื่อนมันลากผมไป ผมอยากไปกับมันซะที่ไหนเล่า” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
ถ้าไม่อยากไปจริงๆ แม้เค้ามาฉุดยังไงก้อไม่ยอม ดังนั้นถ้าเค้าไม่ถูกเพื่อนเอาปืนจ่อหัว อย่าไปเชื่อว่า เค้าไม่อยากไปเฮกับเพื่อน
16. “ผมไม่ว่างจริงๆ อยากเจอเธอจะตายไป” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 85 คน)
คำว่าไม่มีเวลาว่างของเค้าก้อคือไม่อยากไปเจอเธอนั่นเอง และที่มันไม่ว่างเพราะว่าหายไปเฮกับเพื่อนๆ หรือกิจกรรมที่เร้าใจกว่าของเค้า
17. “ไม่มีทางที่ผมจะเห็นเพื่อนสำคัญมากกว่าเธอ” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 51 คน)
ซึ่งเป็นที่รู้ๆกันดีอยู่ว่าคำพูดผู้ชายจะพูดกับผู้ร่วมแก๊งว่า”เฮ้ย กรูน่ะไม่เคยเห็หญิงสำคัญกว่าเพื่อนอยู่แล้ว”
18. “มีอะไรเราต้องไม่ปิดบังกันทุกเรื่อง” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 64 คน)
แม้จะรักกันปานหายใจปอดเดียวกัน แต่เชื่อเหอะว่าทุกคนบ่อมมีความลับของตัวเองบ้าง
และผู้ชายไม่มี วันคายความลับของตัวเองออกมาอย่างแน่นอน
19. “ถ้าวันไหนต้องเลิกกัน ผมยังจะห่วงเธอเหมือนเดิม” (ชาย100คน โกหกเรื่องนี้ถึง 95 คน)
มันไม่มีทางจะเป็นไปได้อยู่แล้ว อย่างน้อยที่สุดก้อไม่มีทางว่าจะห่วงใยกันได้เท่าเดิม
ข้อคิดดีๆ... ของคนที่ไม่เหลือใคร
จงคิดไว้ว่า . . .
คุณไม่ใช่คนเดียวในโลกที่อกหัก ไม่มีใครไม่เคยเสียใจ . . .
ทุกคนเจ็บช้ำมาแล้วทั้งนั้น ความเหงา . . .
อาจทำให้รู้สึกอ้างว้าง . . .
แต่ไม่เคยทำให้ใครเจ็บปวด จงรักในขอบเขตที่จะรักได้ . . .
เพราะคนบางคนเกิดมาเพื่อ . . .
จะให้เรารัก แต่ไม่ได้เกิดมาเพื่อ . . .
เป็นของเรา คิดไว้ซะว่า . . .
เมื่อก่อนเราไม่มีเค้า เราก็อยู่ได้ . . .
ตอนนี้ไม่มีเค้า จะต้องไปแคร์อะไร
อย่าคิดว่าเค้าคือคนที่ดีที่สุด . . .
ถ้าเค้าคือ คนที่ดีที่สุดจริงๆ
เค้าคงไม่ทำให้คุณเสียใจขนาดนี้
ลองเปิดใจหาคนใหม่ . . .
เคยได้ยินคำนี้มั๊ย "เหนือ ฟ้า ยัง มี ฟ้า" . . .
ยังมีคนที่ดีที่สุดสำหรับคุณ ยืนรออยู่ข้างหน้า . . .
ก้าวเดินต่อไป อย่าย่ำอยู่กับที่
อย่าเดินถอยหลังไปหาอดีตที่ทำให้คุณเสียใจ
วันนี้อาจเป็นวันที่ฝนตก ฟ้าครึ้ม . . .
จงนึกไว้เสมอว่า . . .
ต้องมีซักวันที่อากาศสดใส . . .
พรุ่งนี้ต้องเป็นของเรา . . .
ยาแก้อาการของคนอกหัก
1.น้ำใจเพื่อนที่ปรารถนาดี 5 กรัม
2.น้ำตาพ่อแม่ที่รักเรา 10 หยดหรือมากกว่านั้น
3.ความเข้มแข็ง 10 ช้อนชา
4.รากแห่งศักดิ์ศรี 10 กรัม
5.ใบเจ็บแล้วจำ 5 ใบ
6.ความใฝ่ดี 5 ช้อนชา
7.ความเข้าใจ(ในรัก) 5 ช้อนชา
8.สติ 20 กรัม
9.สมาธิ 5 กรัม
10.ปัญญา 20 กรัม
11.น้ำล้างตา(ให้สว่าง) 2 ฝา
12.ความรักตัวเอง เท่ากับกำปั้นของผู้ใช้ยา
วิธีปรุงยา ทันทีที่อกหัก ให้รีบนำส่วนผสมทั้งหมดมาบดให้ละเอียด
แล้วผสมให้เข้าเป็นเนื้อเดียวกัน ปั้นเป็นรูปหัวใจเล็กๆ.. (เพื่อความน่ารัก)..ใส่ขวด..อย่าลืมติดฉลาก"ยาแก้อกหัก"
วิธีใช้ ให้กินวันละ 3 ครั้งหลังอาหาร จนกว่าจะหายจากอาการเจ็บอก
ยานี้ไม่มีวันหมดอายุ สามารถเก็บไว้รักษาโรคอกหักได้ตลอดไป
อีืกหน่อยเราก็ตายจากกัน......แล้วนะ - ข้อคิดดี ๆ จากน้าเน๊ก
คิดปลีกย่อยไปกว่านั้นก็ 525,600 นาที ลองนับเป็นสัปดาห์ อืม......... ไม่เลว 3,120 สัปดาห์
อุแม่เจ้า........แสดงว่า เรามีโอกาสเที่ยวในคืนวันเสาร์สามพันกว่าครั้งเท่านั้นเอง
คิดแบบนี้แล้วไม่กล้าดูนาฬิกา แทบเบือนหน้าหนีจากปฏิทิน เพราะมันไม่ต่างอะไรกับการนับถอยหลังเพื่อรอวันลาโลก...
เปล่าเลยผมไม่ได้กลัวตาย และขอโทษที่หากเรื่องอาจไม่ค่อยขำ
แต่ตลอดเวลาที่ใช้เวลาอยู่บนโลกนี้มันน้อยมากหากคำนวนในเชิงตัวเลข
ยังมีหนังสืออีกหลายเล่มที่ยังไม่ได้อ่าน เพลงอีกหลายเพลงยังไม่ได้ฟัง หนังอีกหลายเรื่องที่ยังไม่ได้ดู
ความรู้สึกในใจอีกมากมายที่ยังไม่เคยบอก พื้นที่อีกหลายล้านตารางกิโลเมตรที่ยังไม่เคยไป
โอ๊ย..... กลุ้ม สองหมื่นกว่าวันที่เราได้รับมามัน น้อยเกินไปจริง ๆ และที่น่ากลุ้มไปกว่านั้นคือ
ใช่ว่าทุกคนจะอยู่ถึง 60 ปี แน่นอน 1 ปี ยังเท่ากับ 365 วัน
นั่นแสดงว่าบางคนไม่ได้มีเวลาบนพื้นโลก 21,900 วันหรอกนะ อาจไม่ถึง 3,120 สัปดาห์ซะด้วยซ้ำ!
อุแม่เจ้าเทค 2 คืนวันเสาร์ที่จะได้ไปเที่ยวเหลือไม่ถึง สามพันวันแล้วเหรอเนี่ย!!!!
คิดแบบนี้ต้องรีบยกนาฬิกาขึ้นมาดู กางปฏิทินออกกว้าง ๆ เพราะมันคือเวลาที่เราเหลือ....
บนโลกนี้ นี่ชั้นกำลังทำบ้าบออะไรอยู่.....ไม่เลยน้องสาว นี่ไม่ใช่ปรัชญางี่เง่าอะไรทั้งสิ้น
หากเป็นความจริงที่ เราไม่ค่อยได้มองมัน เอาล่ะ งั้นสมมติว่าทุกคนอายุ 17 ปี แปลว่าใช้ชีวิตมาแล้ว 6,205 วัน
และผ่านคืนวันเสาร์มาร้อยกว่าครั้ง ส่วนหน่วยนาทีนั้น ...... คำนวณเองบ้างซิว้อยย.....
เอาเวลาที่ใช้ไปนั้น หักลบกับเวลา ( ที่คาดว่าจะ) เหลืออยู่ ผลลัพธ์ที่ได้ เราจะทำยังไงกับมันดี .....
แต่น่าแปลก หลายคนยังยอมทำงานน่าเบื่อ นั่งเอาหัวตากแอร์ไปวัน ๆ
ยอมให้คนที่ไม่ใช่พ่อใช่แม่จิกหัวใช้ เพื่ออะไรบางอย่างที่เราเรียกว่า ' เงินเดือน ' บางคนทนเรียนอะไรก็ไม่รู้อยู่ 4 ปี
ทั้ง ๆ ที่ไม่รู้ว่าชอบหรือเปล่า รู้แต่ว่าแม่ชอบ ไม่ก็เห็นแค่ว่าเพื่อนเรียน เพียงแค่ตอบตัวเองไม่ได้ว่า
กูจะเป็นอะไรดี บางคนแอบรักเขา ซุ่มเลิฟอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้ความรู้สึกที่ดีลอยไปหาคนอื่น
แต่กลับปล่อยให้ใจตัวเองเหลืออยู่แต่ความ รู้สึกต่ำต้อยได้ทุกวัน
ทุกวัน ทุกวัน บางคนกินทิฐิเป็นอาหาร เก๊กใส่กันไปวัน ๆ ต่างฝ่ายต่างรอให้อีกฝ่ายง้อ มึงแน่ กูแน่ งอนการกุศล
ประชดทำลายสถิติ เชิดหยิ่งชิงชนะเลิศ....ไอ้บ้า และอีกหลายคนนิยมกิจกรรม ' ฆ่าเวลา '
ชีวิตมันว่างจัด ขนาดต้องฆ่าเวลากันเลย บอกตรง ๆ เห็นแล้วอยากตบกบาล
เอ็งกำลังทำลายทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดที่มนุษย์ทุกคนพึงจะมี อีกหน่อยเราก็ตายจากัน ......
แล้วนะ ลองคิดแบบนี้บ้าง ใช่แล้ว .... เราจะเกิดความเสียดาย
เพราะเหลืออีกหมื่นแสนล้านที่เรายังไม่ได้ทำ ตายได้ไง หากฝันไม่สำเร็จ ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่ยอมตาย
แต่ให้รีบทำทุกอย่าง ก่อนที่จะตาย ... ซึ่งจะเป็นวันไหนก็ไม่รู้ และในเมื่อเราไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ ...
มาเตรียมการรอรับวาระสุดท้ายของเราดีกว่า เอาแบบตายวันตายพรุ่งก็จะได้นอนตายตาหลับ
ใช้ชีวิตโดยคิดซะว่า....พรุ่งนี้ฉันจะตายแล้ว ทำงานในสิ่งที่เรารัก เสมือนว่าเราจะไม่ได้ทำมันอีก ตามความฝันของเราไปสุดโต่ง
...ต้องรีบแล้ว เดี๋ยวตายนะ...เตือนแล้วไง รักให้หมดใจ บอกเขาไปทั้งหมดที่ความรู้สึกมี
ส่วนจะรักหรือไม่รักกู ไม่สนว้อย ... เพราะพรุ่งนี้ชั้น(อาจจะ ) ตายแล้ว ใช้เวลา ( ที่อาจจะ)
สุดท้ายที่มีต่อกันไว้ กอดกันเหมือนว่านี่เป็นกอดครั้งสุดท้ายของเรา
นุ่มนวลที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะอย่างน้อย ๆ เราจะได้มีสีหน้าที่ยิ้มแย้มตอนให้สัมภาษณ์ยมบาล .......
คนข้างบ้านเดินแป้นแล้นมาบอกข่าวดี ลูกสาววัย 23 กำลังจะแต่งงาน
ในมือมีซองสีชมพูพร้อมการ์ด ลูกสาวอยู่ต่างจังหวัดกับคู่หมั้น แม่เลยต้องมาแจกการ์ดเอง
เมื่อกี๊ว่าที่เจ้าสาวเพิ่งโทรมาปรึกษาแม่เรื่องชุดแต่งงาน.........
หลังจากนั้น 3 ชั่วโมง เธอตาย ...... แต่กว่าคนเป็นแม่จะรู้ข่าวร้าย ก็ปาไป 5 วัน
ซองในมือผม กลายเป็นเงินช่วยงานศพ ช่อดอกไม้ กลายเป็นพวงหรีด
และทั้งหมดกลายเป็นแรงบันดาลใจ ที่อยากจะบอก ว่าอีกหน่อยเราก็ตายจากกัน ....
แล้วนะ อ้าว.... รู้งี้ยังจะมาอ้อยสร้อยอะไรกันอีก รีบแยกย้ายไปใช้เวลาที่เราเหลืออยู่
ไปทำทุกอย่างที่เรายังไม่ได้ทำ เดี๋ยวตายซะก่อน .... เสียดายแย่
วันพฤหัสบดีที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2552
เลขคุณ ใช่ตัวคุณรึป่าว
2. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 2 ( ผู้ที่เกิดวันที่ 2, 11, 20, 29) คนเลข 2 เป็นผู้ที่เหมาะแก่การเป็นยอดขุนพลคู่ใจของแม่ทัพเนื่องจากว่าบุคคลหมายเลข 2 นี้เป็นผู้ที่มีความสามารถเป็นเยี่ยมในการจัดการอย่างมีระบบมีความอดทนและเป็นคนละเอียดถี่ถ้วน มักจะเป็นผู้ที่อยู่เบื้องหลังความสำเร็จต่างๆ ด้านความรักถ้าคน เลข 2 รักใครมักจะไม่แสดงออกอย่างโจ่งแจ้งอาจมีเพียงแววตาเท่านั้นที่พอจะบ่งบอกให้รู้ คนเลข 2 จะสามารถจดจำรายละเอียดต่างๆ ที่เกี่ยวกับคนรักได้อย่างน่าอัศจรรย์และเมื่อรักใครแล้วก็มักจะอยากให้คนรักมีระเบียบเช่นเดียวกับตน และ บุคคลที่จะเข้าคู่กับคนเลข 2 ได้ดีคือบุคคลผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 7 คนเลข 2 จะสร้างความมั่นคงแล ะสมบูรณ์พูนสุขให้กับครอบครัวอย่างยากที่จะมีใครเทียบได้จนบางครั้งอาจจะถึงรุ่นหลานเหลน
3. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 3( ผู้ที่เกิดวันที่ 3, 12, 21, 30) คนเลข 3 เป็นผู้ตั้งเป้าหมายของชีวิตไว้สูงในขณะเดียวกันก็ชอบให้วิถีชีวิตเป็นไปตามทำนอง คลองธรรมเป็นผู้ใฝ่หาความรู้ และยึดมั่นในหลักการ สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมได้ดีเป็นผู ้ที่เข้ากับคนได้ง่าย ด้านความรัก คนเลข 3 จะทำตามกรอบธรรมเนียมประเพณีและกติกาของสังคมจะ ไม่มีการแหกกฎหรือทำอะไรแผลงๆ ดำเนินการไปตามขั้นตอนตั้งแต่เริ่มจีบจนถึงการแต่งงาน และเมื่อแต่งงานปัญหาเรื่องญาติพี่น้องของคนรักมักจะน้อยหรือไม่มีเลยทั้งนี้ก็เนื่องมาจากคุณสมบัติประจำตัวของคนเลข 3 ที่เข้ากับคนได้ง่ายนั่นเอง คู่ของคนเลข 3 ที่จะเข้ากันได้ดีเป็นพิเศษคือผู้ที่มีหมายเลขประจำตัว 6 และ 9
4. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 4( ผู้ที่ เกิดวันที่ 4, 13, 22, 31) คนเลข 4 เป็นผู้ที่มีสามัญสำนึกในเรื่องต่างๆ เป็นเยี่ยมตัดสินใจเรื่องใดมักจะไม่พลาดไม่ว่าจะเป็นเรื่องงานหรือคนประกอบกับเป็นผู้ที่รู้เหตุรู้ผล รู้จักคุณค่าของเงินทำให้สามารถตั้งหลักปักฐานได้รวดเร็วยิ่งกว่าผู้ใดเป็นผู้ที่ บุคคลอื่นมักจะให้ความเชื่อถือ ยิ่งร่วมงานกับผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 1 ยิ่งส่งเสริมกันและกัน ด้านความรัก ถึงแม้คนเลข 4 จะไม่ใช่คนเจ้าชู้แต่มักจะมีคนมาแอบชอบหรือหลงรักทั้งนี้ก็เป็นเพราะว่าคนเลข 4 นอกจากจะเป็นผู้ที่มีฐานะดีแล้วยังมีปฏิภาณในการเดาใจผู้อื่นได้แม่นยำการทำให้ผู้ที่ติดต่อด้วยมีความนิยมและพอใจผู้ที่เป็นคู่รักจึงต้องทำใจให้หนักแน่นหน่อยคู่ที่เหมาะคือผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 8
5. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 5 ( ผู้ที่เกิดวันที่ 5, 14, 23) คนเลข 5 เป็นผู้ที่มีความเข้าใจในธรรมชาติของคนเป็นอย่างดีเป็นพื้นฐานส่งเสริมให้มีความสามารถเป็นพิเศษทางด้านจิตวิทยาหรือการบริหารงานบุคคลซึ่งจะนำไปใช้ประโยชน์ต่ออาชีพการงานที่ต้องแนะแนวหรือให้คำปรึกษา เป็นผู้ที่เชื่อมั่นในตัวเองสูงมากจนบางครั้งแทบจะไม่ฟังความคิดเห็นของผู้อ ? ่นเลยเรื่องดวงยิ่งไม ่สนใจ คนเลข 5 จะซ่อนอารมณ์ไว้ไม่แสดงออกจนกว่าจะถึงเวลาที่เขาหรือเธอตกลงปลงใจแน่นอนแล้วแต่ ไม่ได้หมายความว่าไม่รักเพียงแต่เก็บไฟรักไว้และปลดปล่อยออกมาเมื่อถึงเวลาเท่านั้น คนเลข 5 จะเป็นกลางกับทุกกลุ่มเลข ไม่เป็นพิเศษกับเลขประจำตัวใด แต่กลับไปผูกพันกับเวลาแทนโดยที่มักจะเกิดเหตุการณ์สำคัญในวันที่หรือเวลาที่เป็นเลข 10
6. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 6( ผู ้ที่เกิดวันที่ 6, 15, 24) คนเลข 6 เป็นคนง่ายๆ ไม่ค่อยมีพิธีรีตองเป็นผู้ที่มีอารมณ์ดีอยู่เสมอ ไม่ชอบฝ่าฝืนระเบียบหรือกฎเกณฑ์เป็นคนพอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ จึงไม่ค่อยจะทะเยอทะยานไขว่คว้าหาตำแหน่ง ดูผ่านๆคนทั่ว ไปจะเห็นว่าคนเลข 6 ไม่มีความก้าวหน้ าแต่ในความจริงแล้ว ถ้าคนเลข 6 ได้ทำงานที่ตนชอบก็จะทุ่มเทและสามารถรุ่งเรืองได้ในฐานะผู้วชาญพิเศษที่หาผู้เปรียบได้ยากแต่ไม่ใช่ในฐานะนักบริหารแสวงหาความสุขความพอใจมากกว่าจะคำนึง ถึงเงินจึงมักใช้จ่ายเงินอย่างง่ายๆ ไม่ค่อยเก็บสะสมด้านความรัก คู่ของคน เลข 6 ไม่สามารถจะเก็บเขาหรือเธอไว้เป็นของท่านเพียงคนเดียวเพราะคนเลข 6 เป็นผู้ที่ชอบสังคมวิธีที่ดีที่สุดคือท่านควรไปกับคู่ของท่านด้วยเพื่อนหรือบริวารของคนเลข 6 คือผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 3 กับ 9 และถ้าสังเกตดูจะพบว่าสิ่งที่คนเลข 6 ได้ครอบครองมักจะมีเลขสามตัวนี้เกี่ยวข้อง คือ 3, 6 และ 9
7. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 7( ผู้ที่เกิดวันที่ 7, 16, 25) คนเลข 7 แม้ว่าจะเป็นผู้ที่มีอารมณ์แปรปรวนไม่ค่อยแน่นอน บางครั้งเด็ดเดี่ยวเข้มแข็งแต่บางครั้งอ่อนไหว แต่ก็เป็นคนที่เห็นอกเห็นใจผู้อื่นง่ายและชอบคนที่จริงใจตอบ ชอบแสวงหาประสบการณ์ ความเร้าใจ จึงมักจะพาตัวเข้าไปเกี่ยวข้องกับกามารมณ์ การพนัน และสิ่งเสพติด อย่างเลี่ยงไม่พ้น แต่ก็จะเป็นคนทันคน ยากที่จะถูกใครหลอก มีแต่จะหลอกคนอื่นเขา ด้านความรัก รูปลักษณะภายนอกของคนเลข 7 มักจะเป็นที่ สะดุดตา มีเสน่ห์ และโดยที่คนเลข 7 เห็นว่าเรื่องความรักและกามารมณ์เป็นเรื่องธรรมดา ถ้าคิดจะรักกับคนเลขนี้ ต้องทำใจกับเรื่องดังกล่าวตามตำรากล่าวไว้ว่า คนเลข 7 มักจะแพ้ทางคนที่มีเลขประจำตัวเป็นเลข 2 คู่ที่เป็นคนเลข 2 จึงพอจะอยู่ ร่วมกันได้อย่างเป็นสุข
8. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 8( ผู้ที่เกิดวันที่ 8 , 17 , 26) คนเลข 8 เป็นผู้ที่ มีไหวพริบสูง สามารถแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เก่ง มีวาทศิลป์เป็นเลิศสามารถเจรจา โน้มน้าวจูงใจคนได้ดี แต่มักมีอารมณ์ไม่คงเส้นคงวา เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย ตั้งเป้า หมายชีวิตไว้สูงและชอบเสี่ยง กล้าได้กล้าเสีย ทำให้วิถีชีวิตของคนเลขนี้ค่อน ข้างผาดโผน อาจขึ้นสูงสุดและตกลงมาต่ำสุดได้บ่อยๆ แต่คนเลข 8 เป็นผู้ที่มีความ ทรหดอด ทน พยายามต่อสู้กับอุปสรรคให้ถึงที่สุด ซึ่งส่วนมากมักจะชนะเสีย ด้วย ด้านความรัก คนที่คิดจะมาเป็นคู่ของคนเลข 8 ถ้าต้องการให้คนเลข 8 สนใจ จะต้องเป็นผู้ที่มีความเด่นเป็นพิเศ ษ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพราะคนเลข 8 ชอบอะไรที่สูงกว่ามาตรฐานและสามารถสนับสนุนเป้าหมาย ของเขาได้ นอกจากนี้ยังต้องแสดงให้คนเลข 8 เห็นว่าท่านเข้าใจธรรมชาติของเขา ยอมรับและได้เตรียมตัวเตรียมใจ รับการเปลี่ยนแปลงทุกสถานการณ์ ถ้าทำได้ดังที่กล่าวมาจะสร้างความประทับใจให้แก่ คนเลข 8 ได้มาก คนเลข 8 มักจะสมพงศ์กับผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 1 และ 4
9. ผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 9 ( ผู้ที่เกิดวันที่ 9 , 18 , 27) คนเลข 9 เป็นคนรักธรรมชาติชอบสันโดษ เอางานเอา การ ค่อนข้างสุภาพและขี้อาย ชอบช่วยเหลือผู้อื่นอยากให้ผู้อื่นมาพึ่งพิงจึงมักเห็นคนเลขนี้เป็นครูหรื อนักบวช หรืองานสนับสนุนที่ไม่ต้องมีปฏิสัมพันธ์กับใครด้านความรัก คนเลข 9 ต้องการเป็นผู้ปกป้องคุ้มครองจะไม่ชอบคนที่เอะอะเอ็ด ตะโร หรือแข็งกระด้าง ชอบคนที่นุ่มนวล อ่อนโยน และเป็นช้างเท้าหลัง(หรืออย่างน้อยก็ต้องแสดงว่าเป็น) และเป็นคนโรแมนติก ร้อนแรงเมื่อถึงเวลา จนอาจทำให้ท่านประหลาดใจ เพื่อนหรือบริวารที่เข้ากันได้ดีคือผู้ที่มีเลขประจำตัวเป็น 1
แลลาวกันเด้อประเทศเพื่อนบ้านเรา
• ลักษณะภูมิศาสตร์ ในอดีตที่ผ่านมาประเทศลาวมีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาลมาก แต่ต่อมาภายหลังมาเสียดินแดนบางส่วนให้กับสยาม จนกระทั่งเข้าสู่ยุคปลดปล่อยจากการปกครองของฝรั่งเศส ทำให้ประเทศลาวมีเนื้อที่เหลือเพียง 236,800 ตารางกิโลเมตร พื้นที่ส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเทือกเขาสลับซับซ้อน อันเป็นต้นกำเนิดของแม่น้ำสำคัญถึง 13 สาย ด้วยกัน อาทิเช่น น้ำคาน น้ำงึม น้ำซับ น้ำแบง ฯลฯ แม่น้ำที่สำคัญที่สุดของลาวและเป็นแม่น้ำนานาชาติคือแม่น้ำโขง หรือที่คนลาวเรียกกันว่า แม่น้ำของ ซึ่งบางส่วนของแม่น้ำโขงทางตอนใต้ของประเทศลาวในแขวงจำปาศักดิ์มีความกว้างถึงหนึ่งกิโลเมตร เกิดเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ขวางกลางแม่น้ำโขงคือ น้ำตกคอนตะเพ็ง ซึ่งมีความยาวตามลำน้ำเกือบสิบกิโลเมตร และมีความสูงราว 20 เมตร จากนั้นกระแสน้ำจึงไหลเข้าสู่จังหวัดตึงเตรงในประเทศกัมพูชาต่อไป จากเขตแดนลาวมีความยาวทั้งสิ้น 4,500 กิโลเมตร ชายแดนที่ติดกับประเทศไทยมีความยาว 1,730 กิโลเมตร ส่วนใหญ่มีแม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนทั้งสองประเทศ มีความยาวทั้งสิ้น 1,400 กิโลเมตร มีเทือกเขาที่สูงที่สุดในประเทศ ในแขวงเชียงขวาง ยอดเขาหลายแห่งมีความสูงกว่า 2,000 เมตร ยอดเขาที่สูงที่สุดในประเทศคือ ภูเบี้ย มีความสูงประมาณ 2,820 เมตร• ลักษณะภูมิอากาศ ประเทศลาวตั้งอยู่ในเขตร้อนชื้น ลักษณะทางภูมิศาสตร์มีความแตกต่างกันค่อนข้างมาก ตั้งแต่ภาคกลางจนถึงภาคเหนือในแขวงพงสาลีที่มีเขตแดนอยู่ติดกับประเทศจีน ภูมิประเทศส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อนและที่ราบสูงอากาศค่อนข้างหนาวถึงหนาวจัด ส่วนทางทิศตะวันออกมีลักษณะเป็นเทือกเขาและที่ราบติดกับประเทศเวียดนาม สำหรับทางตอนใต้สุดมีลักษณะเป็นเทือกเขาติดกับประเทศกัมพูชา ประกับกับที่ได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมในทะเลจีนใต้ ทำให้ประเทศลาวมีลักษณะทางภูมิอากาศแบ่งออกได้ 3 ฤดู คือ• ฤดูร้อน เริ่มต้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ จนถึงเดือนเมษายน• ฤดูฝน เริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤษภาคม จนถึงเดือนตุลาคม• ฤดูหนาว เริ่มต้นตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน จนถึงเดือนมกราคม
การแบ่งการปกครอง ประเทศลาวแบ่งเขตการปกครองออกเป็น 17 แขวง (จังหวัด) และอีกหนึ่งเขตการปกครองพิเศษ คือ
1. นครเวียงจันทน์ (กำแพงเวียงจันทน์) เป็นเขตการปกครองพิเศษคล้ายกรุงเทพฯ
2. แขวงเวียงจันทน์ เมืองหลวงคือ เวียงจันทน์
3. แขวงหลวงพระบาง เมืองหลวงคือ หลวงพระบาง
4. แขวงหลวงน้ำทา เมืองหลวงคือ หลวงน้ำทา
5. แขวงอุดมไชย เมืองหลวงคือ เมืองไชยหรืออุดมไชย
6. แขวงบ่อแก้ว เมืองหลวงคือ ห้วยทราย
7. แขวงพงสาลี เมืองหลวงคือ พงสาลี
8. แขวงหัวฝัน เมืองหลวงคือ ซำเหนือ
9. แขวงเชียงขวาง เมืองหลวงคือ โพนสะหวัน
10. แขวงไชยบุรี เมืองหลวงคือ เมืองไชยบุรี
11. แขวงบอลิิคำไซ เมืองหลวงคือ เมืองปากซัน
12. แขวงคำม่วน เมืองหลวงคือ เมืองคำบ่วนหรือท่าแขก
13. แขวงสะหวันนะเขต เมืองหลวงคือ เมืองสะหวันนะเขต
14. แขวงสาละวัน เมืองหลวงคือ เมืองสาละวัน
15. แขวงเซกอง เมืองหลวงคือ เมืองเซกอง
16. แขวงจำปาศักดิ์ เมืองหลวงคือ เมืองปากเซ
17. แขวงอัตปือ เมืองหลวงคือ อัตปือและเขตปกครองพิเศษ คือ ไชยสมบูรณ์
วันอังคารที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2552
ใครอยากเรียนการโรงแรมบ้าง
คณะที่จะแนะนำอาจเป็นคณะที่มีคนสนใจน้อย
แต่อยากบอกว่าเป็นคณะที่น่าสนใจคณะหนึ่ง
คือคณะการท่องเที่ยวและการโรงแรมแต่ในมหาวิทยาลัย
อื่นนั้นจะขึ้นเป็นเอกไม่ใช่คณะซึ่งโดยส่วนใหญ่
จะอยู่ในคณะศิลปศาสตร์ การจัดการ มนุษย์ฯ
ซึ่งจะเป็นสาขาการท่องเที่ยวและการโรงแรม
บางที่จะมีสาขาธุระกิจการบิน สาขานี่เรียนอะไร
ชื่อก็บอกแล้วว่าท่องเที่ยวและโรงแรม
สาขาแรกสาขาการท่องเที่ยว
สิ่งที่เรียนก็จะมีเกี่ยวกับอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว
การทำธุรกิจการท่องเที่ยวกฎหมายอุตสาหกรรม
ได้ปฏิบัติงานจริง เช่นธุระกิจการท่องเที่ยวก็จะได้
จัดทัวร์ขึ้นมาจริงๆ เหมือนเป็นการฝึกงานไปด้วย
พร้อมกับที่เราต้องออกสำรวจเส้นทางเอง ทำทุกอย่างจริง
ถ้าเรียนวิชาประวัติศาตร์เพื่อการท่องเที่ยวก็จะได้ไปดูสถานที่จริงที่เราได้เรียนไป
ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ สาขาการโรงแรม วิชาที่เรียนก็มีหลายอย่างเช่น วิชาการบริการอาหารและเครื่องดื่ม เราจะมีการสอบปฏิบัติจริง เราจะได้ทำcoaktailกันจริงๆตามที่ได้เรียน วิชาการจัดการโรงแรมเราก็จะได้ไปดูสถานที่จริงคือไปที่โรงแรม ดูห้อง ดูการจัดห้องจัดเลี้ยง ดูงานแผนกต่างๆ การโรงแรมนั้นระบบงานภายในไม่ได้มีแค่แผนกเดียวแต่มีหลายแผนกถ้าจะฝึกงานก็สามารถเลือกได้เราถนัดอะไร
วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552
จะบอกอย่างไร...เมื่อความสูญเสีย(ใจ)มาเยือน
คงไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะทำให้ทุกข์เท่ากับการสูญเสีย
ซึ่งย่อมต้องเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเราอย่างน้อยสักครั้ง
ส่วนจะเป็นทุกข์โศกเศร้ามากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่ความแตกต่างและ
พื้นฐานการรับรู้ของบุคคลนั้นเป็นสำคัญ
ผู้ที่ประสบเหตุการณ์แห่งความสูญเสียไม่ว่าจะอะไรก็ตาม
อาจจะรู้สึกว่าคงไม่สามารถทำใจยอมรับกับข่าวร้ายและการสูญเสีย
ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้นได้ อย่างไรก็ตามพบว่า
เมื่อเวลาผ่านไปคนส่วนใหญ่ก็สามารถยอมรับ
มีขั้นตอนการทำใจแตกต่างกันไป
บางคนที่ไม่สามารถผ่านความเศร้าโศกเสียใจนั้นได้ก็อาจ
กลายเป็นผู้มีปัญหาสุขภาพจิตในที่สุด
การสูญเสีย (Loss) เรารู้จักความหมายของการสูญเสีย
การเสียใจกันมากน้อยขนาดไหน?
ในภาษาอังกฤษมีคำที่ใช้เมื่อเกิดการสูญเสียเกิดขึ้น
เช่น คำว่า grief และ bereavement ซึ่งมีความหมายแตกต่างกัน
โดยคำว่า grief คือรูปแบบการตอบสนองต่อการสูญเสีย
ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นที่อารมณ์ตอบสนองต่อการสูญเสีย
รวมถึงปฏิกิริยาทางร่างกาย ความรู้สึกนึกคิด พฤติกรรม
สังคมรวมถึงมุมมองทางปรัชญาด้วย เหล่านี้พบได้จากการสูญเสียคนที่รัก
ไม่ว่าจะเป็นเพื่อน ครอบครัว หรือคนใกล้ชิดต่างๆ
ส่วนคำว่า bereavement นั้นจะหมายความถึงขั้นตอนของการสูญเสียเป็นหลัก
ขั้นตอนการตอบสนองต่อการสูญเสีย
โดยทฤษฎีของผู้เชี่ยวชาญ Dr. Elisabeth Kubler-Ross
และนักจิตวิทยาอีกหลายท่านได้สรุปถึงขั้นตอนของการสูญเสียว่าประกอบด้วย
การตกใจอย่างแรง (shock) และปฏิเสธ (denial)
มีอาการชา ขาดความรู้สึกไปชั่วขณะ รู้สึกตัวเองไม่ใช่ตัวเอง
และไม่สามารถที่จะตั้งสติเรียงลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้
ว่าเกิดอะไรขึ้นกับตนเองและบุคคลที่เกี่ยวข้องได้
อาการดังกล่าวอาจจะเกิดขึ้นอยู่เป็นระยะเวลาสั้นๆ ภายใน 24 ชั่วโมง
ก็จะเริ่มดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับว่าการสูญเสียนั้นว่าจะมากน้อยขนาดไหน
โกรธ (anger) รู้สึกว่าทำไมต้องเกิดเหตุการณ์แบบนี้กับตนเอง
ทำไมไม่เกิดกับคนอื่น พยายามโทษว่าเป็นความผิดของคน
ใดคนหนึ่ง เช่น หมอตรวจผิดหรือไม่ มีคนอื่นทำให้เกิดเห
ตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์เหล่านี้ รวมถึงโทษสิ่งที่ไม่แน่
ใจว่ามีจริงหรือไม่ เช่น พระเจ้าหรือสวรรค์ด้วย
และที่พบได้บ่อยก็คือความโกรธต่อตนเอง
ความโกรธดังกล่าวมิใช่เรื่องที่มองว่าไม่ดีหรือน่าตำหนิ
หากแต่เพียงเพราะเป็นปฏิกิริยาของมนุษย์ทั่วไปที่พึง
จะรู้สึกได้เมื่อเกิดเหตุการณ์การสูญเสียเท่านั้นเอง
ต่อรอง (bargaining) เพื่อปลอบใจในการที่ยัง
ไม่สามารถยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ เช่น
ยังไม่สมควรที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ ขอให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปก่อนจะได้หรือไม่
รวมถึงการพยายามหาที่ย้ำความมั่นใจที่ใหม่
เช่น กรณีที่คิดว่าหมอวินิจฉัยผิด หรือรักษาไม่ดี
น่าจะมีคนที่ช่วยได้ดีกว่าหรือขอแลกเปลี่ยนด้วย
ชีวิตของตนเองแทนจะได้หรือไม่ ซึ่งในความเป็นจริง
การสูญเสียดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขหรือหาอะไรมาทดแทนได้ เ
นื่องจากต้องเป็นไปตามกฎแห่งกรรมของโลกมนุษย์
ซึมเศร้า (depression) เกิดขึ้นเนื่องจากคิดว่าไม่สามารถจัดการแก้ไขกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้แล้ว ซึ่งเป็นความรู้สึกปกติที่สามารถเกิดขึ้นได้ในช่วงนี้ และยังไม่ถือว่าเป็นความเจ็บป่วยแต่อย่างใด แต่ให้พึงระวังไว้ว่าอาจจะเป็นช่วงเวลาที่มีความเสี่ยงในการที่ผู้เสียใจจะกระทำการใดๆ อันเป็นอันตรายต่อตนเองหรือผู้อื่น เช่น การทำร้ายตนเองหรือแม้กระทั่งทำร้ายผู้อื่น ยอมรับ (acceptance) เมื่อเวลาผ่านไป ความรู้สึกและอารมณ์เศร้า รวมถึงสติค่อยๆ ฟื้นกลับมา ร่วมกับการได้รับข้อมูลที่ทำให้ทราบว่าอย่างไรเสียก็คงไม่สามารถจะแก้ไขการสูญเสียที่เกิดขึ้นได้แล้ว การยอมรับจะค่อยๆ เกิดขึ้นในที่สุดอย่างไรก็ตาม แม้จะเกิดการยอมรับแล้ว แต่อาจจะกลับไปสู่ขั้นตอนของการซึมเศร้าสลับไปมาได้ ถ้าขาดการประคับประคองจิตใจให้เข้มแข็งขึ้น โดยอิทธิพลจากสิ่งแวดล้อมรวมถึงตัวบุคคลคนนั้นเองที่จะสามารถฝ่าฟันกับความทุกข์ใจนั้นได้หรือไม่ด้วย
มีข่าวร้าย...ควรจะบอกเขาดีไหม? เป็นเรื่องที่ดูเหมือนไม่ยากแต่ความจริงก็เป็นเรื่องยากหากเราจะต้องบอกข่าวร้ายเรื่องอาการเจ็บป่วยให้แก่คนใกล้ชิด แม้ “ความจริงจะเป็นสิ่งไม่ตาย” แต่คนพูดหรือคนฟังคนไหนจะตายก่อนไม่มีใครรับประกันได้ กล่าวคือ ถ้าคนแจ้งข่าวร้ายโดยที่คนฟังไม่ทันตั้งตัว คนแจ้งก็อาจจะตายได้เพราะผู้รับข่าวอาจเกิดความไม่พอใจ โกรธเนื่องจากยังไม่สามารถปรับใจยอมรับได้ทัน มีคนจำนวนมากกล้าๆ กลัวๆ ที่จะบอกข่าวร้ายให้คนใกล้ชิดทราบ ด้วยเหตุเพราะ ปัจจัยภายในตัวของคนแจ้งเอง กังวลมากเกินไปว่าคนฟังจะรับไม่ได้ เกรงว่าถ้าบอกไปแล้วคนฟังเกิดความผิดหวังมากอาจจะฆ่าตัวตาย ยิ่งทำให้รู้สึกผิดมากขึ้น ไม่มีความรู้หรือข้อมูลยังไม่แม่นพอที่จะบอกความจริง ที่สำคัญคือมีอารมณ์ร่วมไปด้วย ดังนั้นการบอกข่าวอาจจะไม่เหมาะสม ขาดทักษะในการบอก เพราะไม่เคยมาก่อน ไม่รู้จะเริ่มต้นจากตรงไหนดี จนในที่สุดก็ตัดสินใจบอกข่าวร้ายในทันทีโดยไม่สนใจว่าจะเกิดความเสียหายอะไรตามมา หรือบางคนก็ตัดสินใจไม่บอกข่าวร้ายไปเลยก็มี พยายามอ้อมค้อมไปเรื่อยๆ จนในที่สุดทั้งคนฟังและคนบอกก็ไม่ได้สื่อสารกัน และกลายเป็นคนที่จะบอกขาดความน่าเชื่อถือ ปัจจัยจากความคาดหวังที่สูงมากจะยิ่งทำให้ลำบากใจในการบอกข่าวร้าย บางคนก็กังวลกับความคาดหวังของผู้อื่น ทั้งๆ ที่ความจริง การเจ็บป่วยต่างๆ ของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
วิธีเหล่านี้...ไม่ควรทำ!
ไม่ควรแจ้งข่าวร้ายผ่านทางโทรศัพท์
เพราะจะไม่สามารถสื่อสารอารมณ์ความรู้สึกผ่านทางสีหน้าท่าทางได้
ไม่ควรแจ้งข่าวร้ายในขณะที่คนฟังและคนแจ้งอยู่ในความเร่งรีบ เนื่องจากเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องละเอียดอ่อนและส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนฟังข่าวร้ายโดยตรง ควรมีเวลาในการแจ้งข่าวและประคับประคองจิตใจ รวมถึงประเมินการยอมรับของเขาด้วย
ไม่ควรบอกข่าวร้ายโดยที่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนพอ
เพราะจะทำให้ไม่สามารถอธิบายได้กระจ่างแจ้ง
อาจยิ่งเพิ่มความกังวลให้คนฟังมากขึ้น
ไม่ควรบอกข่าวร้ายขณะที่คุณไม่มีเวลาพอที่จะชี้แจงหรือตอบคำถาม
เรียกว่าปล่อยให้คนฟังช็อกไปก่อน ส่วนคนบอกก็ไปทำอย่างอื่นแทน
ในที่สุดอาจลืมแสดงความเห็นใจต่ออีกฝ่าย
ไม่ควรพูดปลอบใจผ่านๆ ให้ความหวังแก่คนฟังข่าวร้ายในสิ่งที่ไม่เป็นจริง
หรือไม่ให้ความหวังอะไรเลย
ขั้นตอนที่ควรทำ...เมื่อต้องแจ้งข่าวร้ายให้คนใกล้ชิด
การเตรียมความพร้อมก่อนแจ้ง ถือว่าเป็นสิ่งสำคัญมาก
การแจ้งข่าวร้ายโดยที่ผู้ฟังอยู่ในสถานที่หรือสถานการณ์ที่ไม่สามารถรับได้อาจเกิดผลกระทบทางจิตใจอย่างรุนแรง และหากไม่มีใครช่วยเหลือได้ทันท่วงทีก็อาจเกิดผลเสียร้ายแรงตามมา เช่น การทำร้ายตนเอง นอกจากนี้ควรสอบถามเจ้าตัวก่อนว่าในการรับฟังข่าวโดยเฉพาะข่าวร้ายเกี่ยวกับสุขภาพของเขานั้น เขาต้องการให้มีผู้อื่นอยู่ด้วยหรือไม่ เช่น ญาติ หรือเพื่อนที่มาเยี่ยม อาจเริ่มต้นด้วยการถามไถ่เกี่ยวกับเรื่องทั่วๆ ไปก่อน เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ฟังอยู่ในสภาพที่พูดคุยได้ ไม่ใช่ว่ากำลังมีอาการทางกายหรือง่วงซึมมากจนไม่สามารถรับฟังได้เต็มที่ ถ้าเป็นเช่นนั้นการแจ้งข่าวร้ายตรงนั้นอาจจะไม่มีประโยชน์- ควรสร้างความรู้สึกให้ผู้ฟังทราบว่าผู้แจ้งข่าวสนใจตน พร้อมกับสังเกตและประเมินภาวะทางกายและจิตใจของผู้ฟัง ช่วยให้เขาได้มีโอกาสพูด เป็นการเปิดการสนทนาไปด้วย ประเมินดูว่าคนฟังข่าวร้ายทราบมากน้อยเพียงใดเกี่ยวกับการเจ็บป่วยของตน บางคนไม่ทราบอะไรมาก่อนเลย บางคนพอทราบแต่ยังรับไม่ได้ คือยังปฏิเสธอยู่ในใจ บางคนก็อาจจะอยากลองใจผู้แจ้งว่าจะบอกความจริงตามที่ตัวผู้ป่วยเคยทราบมาบ้างหรือไม่ เหล่านี้อาจทำให้ผู้แจ้งหงุดหงิดได้ อย่างไรก็ตามไม่ควรตัดสินผู้ป่วยไปก่อน ควรเห็นใจในความรู้สึกและสังเกตดูกิริยาท่าทางของเขาจะดีกว่า ต่อไปก็ควรประเมินดูว่าคนฟังข่าวร้ายต้องการทราบเกี่ยวกับอะไรบ้างในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นสาเหตุ การดำเนินโรค การพยากรณ์โรค บางอย่างที่เขาไม่อยากทราบก็อาจไม่จำเป็นต้องบอก หรือประเมินแล้วว่าเขาไม่พร้อมจะรับรู้ ณ เวลานั้นก็ยังไม่ต้องรีบบอกก็ได้ การให้ข้อมูล ควรบอกทีละน้อย เนื่องจากอาจจะเป็นเรื่องยากแก่การเข้าใจสำหรับคนทั่วไป อีกทั้งการแจ้งข่าวร้ายมักมีผลกระทบต่ออารมณ์ของคนฟัง หากฟังข้อมูลมากๆ ก็จะยิ่งเครียด สับสน และอาจจะยิ่งไม่รู้เรื่อง เพราะฉะนั้นอาจจะต้องค่อยๆ บอกเหมือนเป็นสัญญาณเตือนก่อน เช่น “แต่ความจริงมันร้ายแรงกว่าที่คุณคิด” และรอดูปฏิกิริยา ก่อนที่จะบอกข้อมูลอื่นต่อ โดยสังเกตปฏิกิริยาเป็นระยะๆ ไป เพื่อตรวจสอบดูว่าคนฟังเข้าใจหรือไม่ และเปิดโอกาสให้เขาพูดบ้าง จะได้ฟังน้ำเสียงและสังเกตความรู้สึกของผู้ฟังข่าวร้าย
จะรับมือกับข่าวร้ายอย่างไร...ให้ใจไม่ถูกทำร้าย โดยทั่วไปเมื่อเราผ่านขั้นตอนของการรับรู้ในเรื่องการสูญเสียดังกล่าวมาแล้วนั้น คนทั่วไปจะค่อยๆ ฟื้นจากความรู้สึกเศร้าเสียใจอย่างช้าๆ จนกระทั่งดีขึ้นเป็นปกติในที่สุด ซึ่งระยะเวลาของการเศร้าโศกเสียใจมักไม่เกิน 3 เดือน อาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่าบ้างไม่มากนัก ถือว่ายังอยู่ในเกณฑ์ปกติ ขึ้นอยู่กับสุขภาพจิตของคนๆ นั้น แต่ถ้านานกว่านั้นอาจจะนำไปสู่อาการเรื้อรังซึ่งอาจเป็นจุดเริ่มต้นของโรคซึมเศร้าได้ ซึ่งเมื่อถึงตรงนั้นก็จำเป็นต้องบำบัดรักษาด้วยทางการแพทย์จึงจะดีขึ้น อย่างไรก็ตามภาวะทางใจจะดีขึ้นเร็วหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยเสริมดังต่อไปนี้ด้วย การได้รับการประคับประคองทางด้านจิตใจจากคนรอบข้าง เป็นสิ่งที่สำคัญมาก เพราะเวลาที่เกิดการสูญเสียและตามมาด้วยความผิดหวัง คนเราอดไม่ได้ที่จะรู้สึกว่าตนเองโดดเดี่ยว ไร้คุณค่า ต้องการใครสักคน (หรือหลายคนก็ได้) มาช่วยปลอบประโลม ความรุนแรงของการสูญเสียที่เกิดขึ้น ถ้าเป็นการสูญเสียคนที่รักหรือคนที่มีความหมายในชีวิตย่อมจะเป็นทุกข์มากกว่าการสูญเสียคนหรือสิ่งของที่อาจจะสามารถหามาทดแทนได้ จิตใจของคนคนนั้น เช่น พื้นฐานสภาพจิตใจ เป็นคนที่เข้มแข็งหรือเคยมีประสบการณ์การสูญเสียแล้วสามารถผ่านความทุกข์ ณ ช่วงเวลานั้นมาได้ดีหรือไม่ รวมถึงปัญหาสุขภาพจิต เช่น ความเจ็บป่วยทางด้านจิตเวช และที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนมุมมองจากการสูญเสียที่ทำให้ทุกข์ใจมาเป็นการมองว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่สามารถเกิดขึ้นได้กับมนุษย์ทุกคน ไม่มีใครบอกได้ว่าจะช้าจะเร็ว เพราะทุกสิ่งถูกกำหนดไว้แล้ว การบอกตัวเองว่าทุกอย่างในโลกนี้ไม่มีความเที่ยงแท้แน่นอนคงจะเป็นวิธีปลอบใจที่ดีที่สุด ณ เวลานั้นและสามารถใช้ตลอดไปทุกสถานการณ์
อย่างไรก็ตามข่าวร้ายแม้จะมีผลกระทบต่อจิตใจอย่างมาก แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่ง ข่าวร้ายเป็นเพียงตัวกระตุ้นจิตใจของเราให้เกิดการตอบสนองทางด้านอารมณ์เท่านั้น และถ้ามองในอีกมุมหนึ่งข่าวร้ายจะร้ายแรงหรือไม่ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนฟังข่าวร้ายนั้นมากกว่า เพราะข่าวร้ายที่เกิดขึ้นทั้งหลายนั้นในความเป็นจริงแล้วก็เกิดขึ้นตามวัฏจักรของมนุษย์ที่มีเกิดก็ย่อมมีดับหรือเสื่อมสลายไปตามกาลเวลา แต่ ณ เวลานั้นๆ ที่ยังมีการติดต่อสื่อสารกันอยู่ การดูแลจิตใจเข้าใจความรู้สึกของกันและกันน่าจะมีค่ามากกว่าการห้ามการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ ซึ่งคนทุกคนสามารถทำให้กันได้ ถ้ามีความรัก ความจริงใจ และความเห็นใจ เคารพคนฟังข่าวร้ายในฐานะเป็นเพื่อนมนุษย์คนหนึ่งที่มีอารมณ์ ความรู้สึก เมื่อนั้นข่าวร้ายที่แจ้งไปอาจจะไม่ได้มีผลกระทบใดๆ ต่อสภาพจิตใจของเขามากนัก ในความเสียใจ ความสิ้นหวังที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นอาจจะมีเสี้ยวหนึ่งของความหวังหลงเหลืออยู่ให้สามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ แม้จะไม่ได้เป็นนิรันดร์แต่ก็เป็นสุขได้ ณ เวลานั้นๆ ซึ่งก็พอจะกล่าวได้ว่าการแจ้งข่าวร้ายครั้งนั้นประสบความสำเร็จแล้ว “ความไม่แน่นอนของชีวิต คือเรื่องธรรมดา” ดังนั้นปัญหาจึงอยู่ที่ใจหรือความคิดของตัวเราเองมากกว่า ว่าจะยอมรับกับความไม่แน่นอนนี้ได้หรือไม่ หากข่าวร้ายนั้นบ่งบอกหรือเกี่ยวพันถึงการจะต้องสูญเสียบุคคลที่เป็นที่รัก การหันมาพิจารณาคุณงามความดีของเขาผู้นั้นผู้ล่วงลับคงจะช่วยให้ความโศกเศร้าลดลง เนื่องจากสิ่งเหล่านี้มิได้จากเราไป แต่จะยังคงอยู่ในความทรงจำตลอดไป